Online Marketing
Online Marketing

Remarketing กลยุทธ์ทำโฆษณา แบบตามหลอกหลอน

เคยมีความคิดสงสัยกันรึเปล่า ถึงเจ้าป้ายโฆษณาที่มักจะพบอยู่บ่อยครั้งไปปรากฏบนตัวเว็บไซต์ต่างๆ ที่เรากำลังใช้อยู่ แถมในบางครั้งโฆษณาเหล่านี้ยังรู้ใจนำเสนอแต่สินค้าและบริการที่เราสนใจซะด้วย มันรู้ได้อย่างไร  คนหลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญ ความจริงแล้วมันไม่ใช่ความบังเอิญ นี่ล่ะคือการทำ Remarketing

Remarketing คืออะไร ?

Retargeting หรือ Remarketing เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ทางการตลาดที่ช่วยทำการกระตุ้นให้ลูกค้ากลับเข้ามาซื้อสินค้าเรา หรือใช้บริการบนเว็บไซต์ของเราอีก  คือเมื่อมีลูกค้าเข้ามาสู่เว็บไซต์ของเราแล้วก็จะมีการเก็บข้อมูลของลูกค้านั่นๆเอาไว้ และเมื่อลูกค้าไปใช้บริการเว็บอื่นๆ (ที่ได้ลงโฆษณาของทาง Google เอาไว้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายเว็บไซต์ที่ติดตั้ง) ลูกค้าก็จะเห็น ป้าย Banner ที่โฆษณาสินค้าใหม่ โปรโมชั่นต่างๆของเว็บไซต์เรา เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสนใจและกลับเข้ามาใช้บริการบนเว็บไซต์ของเราอยู่เสมอๆ

ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์อย่าง Agoda ที่เปิดให้มีการจองโรงแรมและห้องพักในราคาสุดแสนจะพิเศษ หากใครเข้าไปใช้บริการเว็บไม่ว่าจะเคยจองห้องหรือไม่ก็ตาม เมื่อเปิดเว็บไซต์อื่นๆ ก็มักจะเจอ Ads ของ Agoda เกี่ยวโปรโมชั่นราคาห้องของสถานที่ท่องเที่ยวที่เราเคยไปเปิดเข้าไปดูแฝงอยู่ด้วย เผื่อเรายังสนใจอยู่ก็จะได้จองห้องพักกับทาง Agoda ได้เลย  ทำให้ Conversion Rate ของเว็บไซต์เพิ่มขึ้นได้ไม่ยากเลย

ทำไมจึงควรใช้ Remarketing

  1. เข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย

Blog-Retargeting_2

เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการทำ Remarketing ที่มีมากกว่าพวก Ads หรือ Banner ก็คือ Remarketing เป็นวิธีที่เราจะมั่นใจได้ว่าข้อมูลหรือข่าวสารต่างๆ  จะไปปรากฏกับคนที่สนใจหรือได้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บของเราเท่านั่น ซึ่งนับว่าเป็นวิธีที่ได้ผลกว่าการใช้ Ads ตามเว็บต่างๆ อย่างแน่นอน เพราะ Ads เหล่านั่น เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าลูกค้าสนใจแบรนด์ของเราจริงๆ หรือไม่ อีกทั้งวันนี้ยังมีจำนวนเว็บที่เข้าร่วมโครงการของ Google Content NetWork มากมาย ก็จะยิ่งทำให้ Ads ของเรานั่นสามารถแพร่หลายไปได้ตามเว็บไซต์ต่างๆ และทำให้ลูกค้ามีโอกาสเห็นโฆษณาของเราได้มากขึ้นด้วย

ผลลัพธ์ที่ตามมาแน่นอนหลังจากที่ลูกค้า เห็นแบรนด์ของเรามากขึ้น ทำให้ Brand Awareness หรือการรับรู้ของแบรนด์สูงขึ้น แล้วเมื่อแบรนด์ของเราเห็นปรากฏบ่อยๆ ผู้คนก็จะร็จักกับแบรนด์เรามากขึ้นจนสนใจในแบรนด์ก่อนที่ตัดสินใจและนำไปสู่การซื้อสินค้าหรือบริการของเราในที่สุด

  1. กำหนดต้นทุนของโฆษณาได้

Blog-Retargeting_3

ในเรื่องของราคาเราสามารถทำการกำหนดต้นทุนในการลง Ads ได้ในแต่ละวัน และสามารถที่จะเลือกใช้หรือหยุดใช้บริการเหล่านี้ตามที่ต้องการได้อีกด้วย รูปแบบของราคาก็คิดได้หลากหลายแบบเช่น แบบ CPM (Cost per impression) หรือเป็นการคิดราคาตามจำนวนครั้งที่โฆษณาของเราแสดงบนเว็บอื่นๆ หรือจะเลือกแบบ CPC (Cost per Click) ที่จะคิดราคาตามจำนวนครั้งที่มีคนเข้ามาคลิกโฆษณาของเราด้วย ทำให้เราสามารถคำนวณ ROI (Reture of Invest) หรือผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในแต่ละวันได้ ว่ามีความคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน

  1. อิสระในการกำหนด Ads

Blog-Retargeting_4

เพราะว่าการทำ Ads Remarketing นั้นยังสามารถที่จะทำได้หลากหลายรูปแบบ สามารถกำหนดได้ทั้ง Font , ขนาด , สี และรูปแบบในการนำเสนอได้อย่างอิสระ รวมไปถึงการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนได้อย่างละเอียด ทั้งพื้นที่ของกลุ่มเป้าหมายว่าอยู่โซนไหน เช่น ในประเทศหรือต่างประเทศ

ถึงแม้ว่า Remarketingจะดูเป็นเครื่องมือที่สุดแสนจะสะดวกสบายและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากๆๆ แต่ทั้งนี้ Remarketing ก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องมืออื่นที่ ต้องอาศัยเวลาในการศึกษาทำความเข้าใจก่อนว่ามีการทำงานอย่างไร รูปแบบการจัดวาง Ads นั้นควรจะมีลักษณะแบบไหนจึงจะสะดุดตา แล้วจะเล่าเรื่องอย่างไรให้น่าสนใจ รวมไปถึงความถี่ของการปรากฏของ Ads ว่าควรจะมากน้อยแค่ไหน  เพราะหากมี Remarketing มากเกินไป ก็อาจจะสร้างความน่ารำคาญให้กับลูกค้าได้ และที่สำคัญมากๆก็คือ ควรจะมีการประเมินวัดผลอยู่เสมอว่าเมื่อลงทุนไปแล้ว จะให้เครื่องมือชิ้นนี้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการทำการตลาดด้วย

ทีมงาน MakeWebEasy