
SEO GEO กลยุทธ์ไหนครองใจคนไทย ในยุค AI ครองเมือง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกของการตลาดออนไลน์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราคงคุยกันเรื่อง “ ทำยังไงให้เว็บติดหน้าแรก Google ”
แต่ตอนนี้คำถามเริ่มเปลี่ยนไปเป็น “ ทำยังไงให้ ChatGPT พูดถึงแบรนด์ของเรานะ ? ”
นี่คือจุดที่คำว่า GEO หรือ Generative Engine Optimization กำลังเข้ามามีบทบาทและถูกพูดถึงมากขึ้นพอ ๆ กันกับคำที่เราคุ้นเคยอย่าง SEO หรือ Search Engine Optimization เลยล่ะค่ะ
แต่ทั้งสองคำนี้ต่างกันยังไง ? และธุรกิจอย่างเราควรจะเทใจไปให้ฝั่งไหนมากกว่า ?
บทความนี้จะพาไปรู้จักทั้ง SEO GEO แบบเข้าใจง่าย ๆ พร้อมแนวคิดใหม่ที่อาจเปลี่ยนวิธีทำคอนเทนต์ของคุณไปเลยล่ะ
ความหมายของ SEO GEO
คำที่คนทำเว็บไซต์หลาย ๆ คนคุ้นเคย เพราะ SEO อยู่กับเรามานานนนนนนนน และยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำให้เว็บไซต์ถูกเจอโดยผู้คนผ่านการค้นหาใน Search Engine ต่าง ๆ อยู่เสมอ
Search Engine Optimization หรือตัวย่อว่า SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้เหมาะกับอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหา เช่น Google หรือ Bing เพื่อให้เว็บไซต์ของเราปรากฏในผลการค้นหาลำดับต้น ๆ หากจะพูดให้เข้าใจง่าย SEO คือ การทำให้ลูกค้าเจอเราผ่านการค้นหาจากคำ ( Keyword ) ที่เขาต้องการ หากเว็บไซต์ของเราปรากฏบนหน้าแรก ความน่าจะเป็นที่ลูกค้าจะคลิกเข้ามาก็สูงขึ้นตามไปด้วย
SEO มีองค์ประกอบหลัก ๆ อยู่ 3 ส่วนด้วยกันค่ะ
-
On-page SEO คือ ปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างภายในเว็บไซต์ เช่น คีย์เวิร์ด หัวข้อ คำอธิบาย และลิงก์ภายใน
-
Off-page SEO คือ สร้างความน่าเชื่อถือจากภายนอก เช่น Backlink หรือการแชร์ในสื่ออื่น ๆ
-
Technical SEO เช่น ปรับปรุงโครงสร้างทางเทคนิคให้เว็บไซต์โหลดเร็ว ปลอดภัย และรองรับอุปกรณ์ทุกประเภท
มาถึง GEO กันบ้าง สิ่งนี้เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานจากเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาเปลี่ยนโลกการค้นหาให้มันง่าย กระชับ ตรงประเด็นมากยิ่งขึ้น
Generative Engine Optimization หรือ GEO คือ กลยุทธ์การปรับเนื้อหาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหายุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI Generative Models เป็นหลัก พูดให้เห็นภาพง่าย ๆ ถ้า SEO ทำเพื่อให้ Search Engine เจอเว็บไซต์เรา … GEO ก็ทำเพื่อให้ AI Generative Engine หยิบเนื้อหาเราไปใช้ในการสร้างคำตอบให้กับผู้ใช้งานนั่นเองค่ะ
สังเกตมั้ยคะ แต่ก่อนเวลาเราค้นหาข้อมูลใน Google มันจะแสดงลิงก์หลาย ๆ เว็บเรียงลงมาให้เราเลือกคลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาในเว็บนั้น เพื่อหาสิ่งที่เราต้องการให้เจอ แต่ตอนนี้ AI อย่าง ChatGPT หรือ Gemini ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น โดยเฉพาะคนไทย เพราะเวลาเราอยากรู้อะไร มันไม่ได้ตอบมาแค่ลิงก์ แต่มันสรุปคำตอบให้เราเลยเสร็จสรรพ พร้อมดึงข้อมูลจากหลายแหล่งทั้งเว็บไซต์ เพจ Socail media ต่าง ๆ ที่มันมองว่าน่าเชื่อถือที่สุดมาให้ครบทั้งหมด และถ้าเว็บไซต์ของคุณอยู่ในกลุ่มข้อมูลที่ AI ดึงมาใช้ นั่นแปลว่าแบรนด์ของคุณกำลังมาถูกทางแล้วค่ะ

GEO SEO ต่างกันยังไง ?
ถึงแม้ชื่อจะคล้ายกันและแสดงข้อมูลของเราที่ถูกค้นพบเหมือนกัน แต่ SEO GEO มีเป้าหมายและกลไกที่แตกต่างกันชัดเจนเลยล่ะ
1. เป้าหมายหลักของแต่ละกลยุทธ์
-
SEO : เน้นให้คนคลิกเข้าเว็บไซต์ของเรา
เป้าหมายคือทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับในหน้าผลการค้นหา (Ranking) เพื่อดึงคนเข้าเว็บมากที่สุด -
GEO : เน้นให้ AI เลือกใช้ข้อมูลของเรา
เป้าหมายไม่ใช่ยอดคลิก แต่คือการทำให้ข้อมูลในเว็บไซต์ถูก AI นำไปใช้ตอบคำถามผู้ใช้ ใน ChatGPT, Gemini หรือ AI Tools อื่น ๆ
2. วิธีที่ระบบค้นหา
-
SEO ใช้ Keyword ที่คนพิมพ์ค้นหาใน Google โดยระบบจะค้นหาคำตรงกับ Keyword นั้น แล้วแสดงลิงก์เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องมาให้
-
GEO ทำงานต่างออกไป เพราะ AI ไม่ได้ค้นคำแต่จะเข้าใจบริบท ผู้ใช้มักพิมพ์เป็นคำถาม เช่น “GEO คืออะไร” หรือ “ GEO ต่างจาก SEO ยังไง” จากนั้น AI จะวิเคราะห์และสรุปคำตอบออกมาให้เป็นเนื้อหา บทสนทนาให้
3. การแสดงผลของข้อมูล
-
SEO แสดงผลเป็นรายชื่อเว็บไซต์ที่มีลิงก์ในหน้าค้นหา
-
GEO แสดงผลเป็นกล่องคำตอบสรุป (AI Summary Box) ที่ AI สร้างขึ้นจากหลายแหล่งข้อมูลที่ไปเก็บมาจากหลากหลายเว็บไซต์
4. กลยุทธ์ในการสร้างคอนเทนต์
-
SEO ใช้ Keyword ที่มีการค้นหาสูง พร้อมกับทำ Backlink เพื่อเพิ่มคะแนนความน่าเชื่อถือให้หน้าเว็บไซต์
-
GEO มุ่งสร้างเนื้อหาที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้ และต้องมีความเป็น Authority Source ที่ AI สามารถอ้างอิงได้จริง แนะนำว่าควรเขียนเนื้อหาให้เข้าใจง่าย มีโครงสร้างชัด เช่น แจกแจงเนื้อหาเป็น bullet point หรือเนื้อหาแบบอธิบายเหตุและผลอย่างชัดเจน
5. การวัดผลความสำเร็จ
-
SEO วัดจาก Ranking, Organic Traffic และจำนวนคลิกเข้าสู่เว็บไซต์
-
GEO วัดจากการที่ข้อมูลของเราปรากฏในคำตอบของ AI หรือพูดง่าย ๆ คือ เราไม่ได้แค่ถูกเห็น แต่เนื้อหาของเราถูกพูดถึงโดย AI เอง
เจ้าของเว็บไซต์ควรทำยังไง ในยุคที่มี AI เข้ามา ?

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน การทำ SEO คือ หัวใจของการตลาดออนไลน์เลยล่ะ ใครอยากให้เว็บติดหน้าแรก Google ก็ต้องขยันทำคอนเทนต์ ใส่คีย์เวิร์ดให้ตรงจริตคนค้นหา สร้าง Backlink เพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่ตอนนี้ โลกออนไลน์กำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ AI Search อย่างเต็มตัว เพราะไม่ว่าอยากจะรู้อะไร สิ่งแรกที่คิดถึงก็คือการถาม ChatGPT หรือเรียกหา Google Gemini ในมือถือ ไม่ได้พิมพ์ค้นใน Google เหมือนเมื่อก่อนแล้ว และนี่เองคือจุดที่ GEO เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญใรชีวิตเราทีละนิด
เมื่อเครื่องมือ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย ทั้งในการทำงาน การเรียน หรือแม้แต่การตัดสินใจซื้อสินค้า AI จึงกลายเป็นช่องทางค้นหารูปแบบใหม่โดยสมบูรณ์
ยกตัวอย่างเช่น
เราอยากจะหาร้านราเมง แทนที่จะพิมพ์คำค้นหา “ ร้านราเมงในกรุงเทพ ”
แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปถามว่า “ มีร้านราเมงในกรุงเทพที่อร่อยและบรรยากาศเหมือนญี่ปุ่นมั้ย ”
คำถามเหล่านี้ไม่ได้ตรงกับ Keyword แบบ SEO อีกต่อไป แต่มันคือการใช้คำถามเชิงสนทนาที่ AI จะใช้ความเข้าใจจากหลายแหล่งมาสร้างคำตอบให้เราแบบครบที่สุด
นี่แหละเหตุผลว่าทำไมต้องทำ GEO เพื่อปรับเนื้อหาให้ AI หยิบข้อมูลของเราไปใช้ในคำตอบนั้น ธุรกิจไหนที่เริ่มทำ GEO ก่อนคนอื่น จะมีโอกาสถูกพูดถึงโดย AI ได้ แม้ผู้ใช้จะไม่ได้คลิกเข้าเว็บไซต์โดยตรง แต่ถ้าชื่อแบรนด์หรือข้อมูลของเราปรากฏในคำตอบของ ChatGPT หรือ Gemini นั่นก็เท่ากับว่าเรากำลังอยู่ในบทสนทนาของผู้บริโภคยุคใหม่แล้วเรียบร้อยค่ะ
แต่ GEO ไม่ได้มาแทน SEO นะ
SEO ยังมีบทบาทมากในเรื่องการทำให้คนเจอเว็บไซต์ของเราโดยตรง ส่วน GEO คือ ตัวช่วยต่อยอดให้ข้อมูลของเราปรากฏในระบบตอบคำถามของ AI เมื่อทำทั้งสองอย่างควบคู่กัน ธุรกิจก็จะได้ทั้งการมองเห็นจากคนและ การอ้างอิงจาก AI ซึ่งเป็นการครอบคลุมความต้องการและพฤติกรรมของผู้ใช้งานทุกรูปแบบ จะเพิ่มทั้งยอดเข้าชม และโอกาสสร้างการจดจำในใจลูกค้าไปพร้อม ๆ กันด้วยค่ะ
รู้แล้ว ลองเลย!
ต่อให้โลกเปลี่ยนไปแค่ไหน หลักการสำคัญก็ยังเหมือนเดิม สิ่งที่เจ้าของธุรกิจไทยควรใส่ใจก็คือ AI ไม่ได้มาแย่งงานหรือแย่งพื้นที่ในโลกออนไลน์ของเรานะ แต่มันคือช่องทางใหม่ที่เราสามารถใช้เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นต่างหาก ถ้าอยากให้ธุรกิจยังอยู่ในสายตาผู้บริโภค หรือในคำตอบของ AI ก็ถึงเวลาที่เราต้องหันมาทำ SEO GEO ควบคู่กัน เพื่อให้แบรนด์ของเราครองใจทั้ง คน และ AI ได้ในเวลาเดียวกัน