เทคนิคทำโฆษณา Google งบประหยัด แต่ก็ปังได้
บทความทั้งหมด, Google Ads
บทความทั้งหมด, Google Ads

เทคนิคทำโฆษณา Google งบประหยัด แต่ก็ปังได้

ทุกวันนี้การแข่งขันบนโลกออนไลน์พุ่งสูงขึ้นแบบไม่มีหยุด การทำให้ลูกค้าเห็นเราผ่านการ ทำโฆษณา Google Ads จึงกลายเป็นคีย์หลักที่เจ้าของธุรกิจ SME และร้านค้ารายเล็ก ๆ จะขาดไปไม่ได้ แต่มีความจริง 1 อย่างที่เจ้าของธุรกิจหลายคนอาจไม่เชื่อ นั่นก็คือ ถึงงบโฆษณา Google จะไม่เยอะ แต่ก็สร้างยอดขายได้ ถ้าคุณมีเทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยให้การทำ Google Ads ของคุณทั้งประหยัดและเห็นผล

 

วันนี้เราจะมาบอกวิธีการ ทำโฆษณา Google อย่างมีประสิทธิภาพ แบบที่ไม่ต้องทิ้งงบประมาณไปอย่างเปล่าประโยชน์กันค่ะ

 

1. โฟกัสแคมเปญที่คุ้มค่า เน้นขายสินค้าเฉพาะให้ตรงจุด

การที่เรากระจายงบไปหลาย ๆ ทิศทาง อาจจะดูเหมือนเป็นการเผื่อไว้ก่อน แต่ความจริงแล้วมันเสี่ยงที่จะทำให้แต่ละแคมเปญเบาเกินไปจนไม่เห็นผล อย่าลืมว่าทุกคลิกที่เราได้มาคือเงินจริง ๆ ค่ะ การทำแคมเปญที่ชัดเจน เจาะจง และเกาะติดกับสินค้าหรือบริการเฉพาะชนิด มักจะมีแนวโน้มสร้างผลลัพธ์ได้เร็วกว่าการหว่านแน่นอน

ลองคิดในมุมนี้ดูนะคะ: หากคุณมีร้านกาแฟเล็ก ๆ กลางเมือง แทนที่จะตั้งโฆษณาแบบทั่วไปว่า “ร้านกาแฟ” ซึ่งมีคู่แข่งเพียบ ลองเปลี่ยนมาใช้คำเฉพาะ เช่น “กาแฟดริป สุขุมวิท 24” หรือ “กาแฟดริป ทองหล่อ” ดีกว่ามั้ย? คุณจะได้กลุ่มคนที่มีภาพในหัวก่อนคลิกและถ้าสิ่งที่คุณโฆษณาตรงกับสิ่งที่เขากำลังหา โอกาสปิดการขายก็จะสูงขึ้นมากเลยค่ะ

ในวงการรองเท้าก็เช่นกัน หากคุณขายรองเท้าวิ่งผู้หญิง แทนที่จะใช้แค่ “รองเท้าวิ่งผู้หญิง” ก็เลือกความเฉพาะเจาะจง เช่นการใส่แบรนด์หรือเนื้อป้าลงไป มันอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ความเฉพาะเจาะจงนี้แหละค่ะที่เปิดประตูให้โฆษณาของคุณไปโผล่ต่อหน้าคนที่ใช่ได้มากขึ้น

 

 

2. ยิงโฆษณาในช่วงเวลาทองที่ลูกค้าค้นหา

เคยเจอปัญหานี้มั้ยคะ? ยิงโฆษณาทั้งวันแต่ยอดคลิกหรือยอดขายกลับไม่กระเตื้องเลย

นี่คือจุดที่หลาย ๆ ธุรกิจมักจะพลาด ประเด็นคือ การที่เราเปิดโฆษณาไว้ ไม่ได้แปลว่าจะมีคนเห็นในเวลาที่เขาพร้อมจะซื้อนะ

เราต้องเจาะเข้าสไตล์ลูกค้าให้แม่นขึ้น ลองสังเกตดูว่าลูกค้าของเราออนไลน์เวลาไหนบ่อย อย่างเช่น ลูกค้าร้านอาหารมักจะเปิดมือถือดูเมนูก่อนเที่ยงหรือก่อนเลิกงาน ช่วงบ่าย 3-4โมงเย็นและ 1 ทุ่มคือเวลาทองที่ควรจับตาดูค่ะ

ลองนึกภาพตามนะคะ ถ้าเจ้าของร้านอาหารกลางเมืองท่านหนึ่งที่เคยกดรันโฆษณาตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงบ่ายสอง ขายข้าวแกงแบบพรีเมียม แต่พอปรับเวลาการโฆษณาให้ตรงกับช่วงที่คนเริ่มคิดถึงอาหารกลางวัน ยอดคลิกกลับเพิ่มขึ้นทันตาเห็นทั้งที่ใช้งบเท่าเดิม

การทำโฆษณา Google ตามช่วงเวลาไปเรื่อย ๆ จะสามารถเก็บสถิติช่วงเวลาจะทำให้เรารู้ว่าเมื่อไหร่ที่คลิกที่คุ้มค่าจะเกิดขึ้น แล้วเราก็จะหยุดยิงแบบสุ่มสี่สุ่มห้าให้เสียเงินเปล่าไปได้เลยค่ะ

 

3. ตั้งพื้นที่ให้แคบลง ยิ่งแม่น ยิ่งประหยัดงบ

ตั้งพื้นที่บนแคมเปญ Google Ads ให้แคบ ยิ่งแม่น ยิ่งประหยัด

หนึ่งในข้อดีสุด ๆ ของ Google Ads คือเราสามารถเจาะจงพื้นที่โฆษณาได้แม่นยำถึงระดับรัศมี 1 กิโลเมตรรอบร้านเลยทีเดียว ซึ่งเหมาะกับธุรกิจที่มีหน้าร้าน หรือขายเฉพาะในบางพื้นที่มาก ๆ

ยกตัวอย่างเช่น เราเปิดคลินิกอยู่แถวลาดพร้าว เราไม่จำเป็นต้องหวังให้คนอีกฝั่งเมืองหรือคนเขตอื่นไกลขับรถมาหาเราหรอกค่ะ เพราะเขามีคลินิกใกล้บ้านอยู่แล้วแน่นอน ลองตั้งค่าให้โฆษณาแสดงเฉพาะในรัศมี 3–5 กิโลเมตรจากที่ตั้งจริง คนที่เห็นโฆษณาก็จะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสมาหาถึงที่แล้วใช้บริการจริงเท่านั้น

 

 

4. ใช้ข้อความที่ชัดเจน สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าอยากคลิก

ข้อความโฆษณาของเราคือสิ่งแรกที่ลูกค้าเห็น ถ้ามันไม่ชัดเจนหรือไม่มีสิ่งจูงใจที่มากพอ ลูกค้าก็จะเลื่อนผ่านไปโดยไม่สนใจทันที

ลองนึกภาพว่าคุณเปิด Google แล้วเห็นข้อความว่า “เสื้อผ้าผู้หญิง ราคาถูก” กับ “Flash Sale วันนี้เท่านั้น – เสื้อเชิ้ตเกาหลีเหลือ 290 บ. ส่งฟรี” คุณจะคลิกอันไหนคะ แน่นอนว่าข้อความโฆษณาแบบที่ 2 ดูดึงดูดและน่าตื่นเต้นกว่ามาก

ไม่ว่าเราจะขายอะไร ลูกค้ามักจะตอบสนองต่อคำที่ให้ความรู้สึกได้สิทธิพิเศษเดี๋ยวนี้ เช่น ลดทันที ส่งฟรีวันนี้ หรือ ปรึกษาฟรีก่อนซื้อ คำเหล่านี้มีผลทางจิตวิทยากับการตัดสินใจอย่างเหลือเชื่อเลย แค่เปลี่ยนคำไม่กี่คำ ก็สร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ให้เราได้แบบไม่ต้องเพิ่มงบเลยสักบาทเดียวค่ะ

 

 

จุดไหนในการทำโฆษณา Google ที่ทำให้เสียเงินเปล่า

หลาย ๆ ธุรกิจพลาดจากการตั้งค่าแคมเปญที่ดูเผิน ๆ ก็เหมือนจะโอเค แต่กลับเสียเงินเปล่าไปเยอะกว่าที่คิด ลองดูสิคะว่าสิ่งเหล่านี้คุณกำลังทำอยู่ไหม?

  • ใช้คีย์เวิร์ดกว้างเกินไป เช่น “อาหาร” หรือ “รองเท้า” ที่ไม่บอกเลยว่าคุณขายอะไรให้ใคร
  • เปิดโฆษณา 24 ชั่วโมง ทั้งที่รู้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่มาแค่ช่วงเช้า-เย็นเท่านั้น คนคลิกช่วงอื่นอาจจะไม่ใช่ลูกค้าที่แท้จริง
  • ไม่ใส่ข้อความกระตุ้นให้คนรีบซื้อ ไม่มีแรงผลักดัน ลูกค้าก็แค่ดูแล้วก็ผ่านไป

 

อีกเรื่องที่เจอบ่อยคือเจ้าของร้านไม่เคยตรวจสอบผลการโฆษณาเลย ปล่อยให้รันอัตโนมัติแบบเดิม ๆ ต่อเนื่องหลายเดือน ผลคือเสียเงินแต่ยอดไม่ขึ้น เพราะโฆษณาคุยกับตัวเองมากกว่าคุยกับลูกค้า ลองหมั่นเข้าไปดูผลลัพธ์การ ทำโฆษณา Google ใน Report ของ Google Ads อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อทำความเข้าใจกับตัวเลขแต่ละจุด ทั้งการแสดงผล ผลลัพธ์และงบประมาณที่ได้จ่ายไป แล้วคุณจะเห็นจุดที่สามารถปรับได้ทันทีเพื่อให้โฆษณาคุ้มค่ายิ่งขึ้นค่ะ