E-Commerce, เทคนิคการทำเว็บไซต์
E-Commerce, เทคนิคการทำเว็บไซต์

ขายของออนไลน์ต้องรู้! 5 เทคนิค เรียกลูกค้าเข้าเว็บไซต์

เมื่อคุณมีเว็บไซต์ หรือร้านค้าออนไลน์ที่พร้อมจะขายของให้คุณ 24 ชั่วโมงแล้ว สิ่งต่อไปที่คุณจะต้องทำก็คือ “เรียกลูกค้าเข้าร้านของคุณ” คุณรู้มั้ยว่าบนโลกออนไลน์มีเครื่องมือ และเทคนิคมากมายที่จะช่วยนำทางให้คนเข้าไปที่เว็บไซต์ของคุณได้อยู่ด้วย อยากรู้แล้วใช่มั้ยว่ามีเทคนิคอะไรบ้าง ลองอ่านบทความนี้ดู แล้วคุณจะรู้ว่าการขายของออนไลน์บนเว็บไซต์ ไม่ยากอย่างที่คิด

1. ทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับ Google ด้วย SEO

ทำไมต้องทำ SEO ? ในปัจุบัน คนเราเมื่อมีความต้องการบางอย่าง หรือกำลังมีปัญหา พวกเขาจะหาข้อมูลที่ต้องการได้จากที่ไหน? แน่นอนทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ” Google สิ! “

จะดีแค่ไหนถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บแรกๆ ที่คนกลุ่มนั้นเห็น.. หากคุณต้องการเปลี่ยนคนเหล่านั้นให้กลายเป็นลูกค้าของคุณ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ ทำ SEO ดันเว็บไซต์ของคุณให้ติดอยู่ในอันดับแรกๆ ของ Google Search

จากผลสำรวจของเว็บไซต์ Advancedwebranking แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่เสริซ์หาข้อมูล และสินค้าบน Google มักจะเลือกคลิกเว็บไซต์อันดับแรก 34% อันดับสอง 16% และอันดับสาม 10% (ผลการสำรวจนี้ไม่ได้นับการลงโฆษณา Google Ads)

นั่นหมายความว่า หากเว็บไซต์ของคุณไม่ทำ SEO ก็ยากที่ลูกค้าจะเห็นเว็บไซต์ของคุณได้

พื้นฐานการทำ SEO ที่ดี เริ่มต้นที่ Keyword เพื่อที่จะให้ลูกค้าสามารถ พบเห็น หรือเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณได้ สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่การเลือกใช้ Keyword เมื่อคุณใช้คำที่ตรงกับคำค้นหาของลูกค้า ก็มีโอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะถูกแสดงอยู่บน Google Search

เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับในหน้าแรก หรืออันดับต้นๆ ของ Google เว็บไซต์ของคุณก็จะได้ Traffic เพิ่มขึ้น มีคนคลิกเข้ามาสม่ำเสมอ 

หากคุณใช้บริการเว็บไซต์ของ MakeWebEasy คุณสามารถคลิกเพื่อดูวิธีการตั้งค่า SEO ในระบบหลังบ้านได้เลย

รู้หรือไม่.. Search Engine ให้ Traffic มากกว่า Social media 300%

 

2. เรียกคนเข้าเว็บไซต์ด้วย Social media

สำหรับร้านค้าออนไลน์ Social media เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จัก ทำให้คนมากมายจดจำคุณได้ และช่วยส่งเสริมการขายให้กับธุรกิจ ในประเทศไทยมีคนใช้ Social media มากถึง 51 ล้านคน ทำให้เราสามารถหากลุ่มลูกค้าใน Social media ได้มากมาย

แล้วเราจะพาคนจาก Social media ไปที่ร้านค้าออนไลน์ได้ยังไง?

          Step 1 ใส่รายละเอียดในโปรไฟล์ เพราะสิ่งแรกที่ผู้ติดตามคุณจะเห็นเมื่อเข้าไปที่เพจของคุณคืออะไร? โปรไฟล์ไง! ส่วนที่เหมาะกับแสดงรายละเอียดของธุรกิจ เพียงแค่คุณใส่เว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ของคุณลงไปด้วย ลูกค้ามากมายที่ติดตามคุณสามารถคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ของคุณได้เลย

          Step 2 นำ Blog มาโพสต์บนโซเชียล หากคุณมีบทความเกี่ยวกับสินค้า หรือข่าวสารใหม่ๆ ที่เขียนบน Blog คุณก็สามารถนำมาโพสต์บน Social media เพื่อให้คนคลิกเข้าไปอ่านได้เช่นกัน

          Step 3 เลือกช่วงเวลาในการโพสต์ให้เหมาะสมจะช่วยให้คนเข้าเว็บไซต์เพิ่มขึ้น สำหรับ Social media อย่าง Facebook จะมีสถิติต่างๆ ให้เราได้ดูเพื่อใช้สำหรับวิเคราะห์ รวมถึงพฤติกรรมของลูกเพจของเราด้วย เราสามารถดูได้ว่าลูกเพจของเราส่วนใหญ่เล่น Facebook เวลาไหนกัน หากเราเลือกโพสต์ในช่วงที่ลูกเพจของเราออนไลน์มากที่สุด ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเห็นโพสต์ และคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ของเรา

          Step 4 เข้าไปมีส่วนร่วมกับลูกเพจให้มากขึ้น เมื่อลูกเพจของคุณให้ความสนใจกับสินค้า อาจมาในรูปแบบของการคอมเมนต์ หรือทักมาที่แชท คุณสามารถส่งลิงก์สินค้าที่ลูกเพจส่วนใจ กดเพื่อเข้าไปดูสินค้า หรือรายละเอียดเพิ่มเติมได้

          Step 5 ลงโฆษณาบน Social media – การลงโฆษณาบน Social media จะช่วยให้คุรสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น แต่การลงโฆษณาเพื่อโปรโมทเว็บไซต์จะต่างจากการโปรโมทโพสต์ทั่วไปตรงที่ การคิดค่าโฆษณาจะถูกนับเป็นจำนวนต่อคลิกแทน

          Step 6 กระตุ้นความสนใจให้โพสต์ของคุณด้วย Call to action – การเขียนแคปชั่นในคอนเทนต์ คุณสามารถเขียนเพื่อโน้มน้าม หรือกระตุ้นให้คนอ่านเกิดความสนใจ ก่อนที่จะแปะลิงก์เพื่อให้ลูกค้าของคุณเข้าไปอ่านเพิ่มเติม คุณอาจลงท้ายด้วยคำว่า “คลิกที่นี่… เพื่ออ่านต่อ” หรือ “หากคุณสนใจสินค้า สั่งซื้อได้เลยที่นี่” พร้อมแปะลิงก์หน้าเพจท้ายประโยค

          Step 7 สำหรับ Facebook หากแฟนเพจของคุณอยู่ในหมวดร้านค้าออนไลน์ คุณสามารถลงขายสินค้าในแฟนเพจ และเลือกปุ่ม Call to action “ซื้อสินค้าบนเว็บไซต์” หรือ “ชำระเงินบนเว็บไซต์” ได้เลย เท่านี้คุณก็สามารถขายของได้ 24 ชั่วโมง แล้ววว!

การโฆษณาบน Social media สำหรับ Facebook เราก็สามารถเลือก Call to action ที่จะมาแสดงใต้โพสของเราได้เช่นกัน

การใช้ปุ่ม Call-to-action บน Facebook จะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกได้ถึง 285%

 

3. ส่งจดหมายให้ลูกค้าคนพิเศษด้วย Email Marketing

Email Marketing เครื่องมือการตลาดที่หลายคนมองข้าม แต่คุณรู้มั้ยว่า Email Marketing เป็นสุดยอดเทคนิคการตลาดที่รักษากลุ่มลูกค้าได้ดีที่สุด และสามารถพาลูกค้าของคุณไปที่เว็บไซต์ได้ดีที่สุดอีกด้วย

จุดเด่นของการใช้ Email Marketing คือ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของตัวเองได้โดยตรง ใช้สำหรับส่งข่าวสาร หรือเสนอโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อปิดการขายได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถส่งบทความต่างๆ เกี่ยวกับสินค้า หรือสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันที่ดี และเปลี่ยนลูกค้าทั่วไปให้เป็นลูกค้าประจำ

การจะทำ Email Marketing ให้มีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่คุณต้องมีคือ

          Subject line (หัวเรื่อง) – กุญแจสำคัญของการสร้าง Traffic ให้เว็บไซต์ และแสดงให้เห็นความสำเร็จของ Email Marketing อยู่ที่ “หัวเรื่อง” เพราะสิ่งแรกที่ลูกค้าของคุณจะเห็นเมื่อเข้ามาเช็คอีเมลก็คือ หัวเรื่องอีเมล นี่แหละ การเขียนหัวเรื่องให้ดึงดูด และน่าคลิกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

สูตรลับการเขียนหัวเรื่องให้น่าสนใจคือ [ ตัวเลข หรือคำถาม + คำนาม + คำสำคัญ + ผลลัพท์ ] ตัวอย่างการเช่น “9 เทคนิค ออกแบบเว็บไซต์ ให้ถูกใจคนดู”

          Call to action – เมื่อเป้าหมายที่คุณทำ Email Marketing คือการดึงให้คนเข้าไปที่เว็บไซต์ การใส่ลิงก์ไว้ในรูปภาพเพียงอย่างเดียวอาจทำให้คนที่เปิดอีเมลไม่รู้ว่ารูปนี้สามารถคลิกได้ เกิดความสับสนว่าจะไปต่อได้ยังไง? สิ่งที่จะทำให้คนเข้าไปที่เว็บไซต์ของคุณได้ก็คือ Call to action ยกตัวอย่างเช่น “คลิกเลย!” “ดูรายละเอียดสินค้า” หรือ “สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม”

          Content (เนื้อหา) – เนื้อหาของอีเมลที่จะนำทางให้ผู้อ่าน หรือลูกค้าของคุณไปคลิกที่ Call to action เนื้อหาที่ดีควรใช้คำที่ดึงดูด มีความน่าสนใจ น่าค้นหา กระตุ้นความอยากรู้ของคนอ่าน คนที่เปิดอ่านอีเมลจะใช้เวลา 2 วินาทีเท่านั้น ในการตัดสินใจว่าจะอ่านอีเมลของคุณหรือไม่ เพราะฉะนั้นคุณไม่ควรเขียนเนื้อหาที่ยาวๆ ทำให้กระชับ และง่ายต่อการอ่านที่สุด

          Visuals (ภาพประกอบ) – ไม่ว่าใคร ก่อนจะตัดสินใจซื้อของอย่างหนึ่ง ก็ต้องการเห็นภาพของสินค้าก่อนทั้งนั้น ภาพประกอบจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับร้านค้าออนไลน์ คุณควรใส่ภาพสินค้าลงใน Email Marketing ของคุณด้วย การทำภาพประกอบให้ออกมาน่าสนใจก็สามารถดึงดูดให้ลูกค้ากดเข้าไปชม หรือซื้อสินค้าที่เว็บไซต์ของคุณได้อีกด้วย (อาจทำคอนเทนต์ เกี่ยวกับการถ่ายภาพสินค้า หรือตกแต่งภาพสินค้า มาใส่เพิ่มเติมหลังจากนี้)

81% ของคนที่ได้รับอีเมลจากร้านที่เคยเข้าไปซื้อของ มีโอกาสสูงที่จะกลับมาซื้ออีกครั้ง

การทำ Email marketing ที่ดีจะทำให้ลูกค้ามี Action กับอีเมลที่คุณส่งไป ไม่ว่าจะเป็นการสนใจโปรโมชั่น หรือเข้ามาดูสินค้าใหม่ๆ ที่เราแนะนำ คุณควรเลือกผู้ให้บริการ Email Marketing ที่มีความเชี่ยวชาญ เข้าใจธุรกิจ และสามารถออกแบบดี มีความสวยงาม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์คุณ

 

4. ขึ้นแรกหน้าของ Google ทันทีด้วย Google Ads

Google Ads คืออะไร? แล้วทำไมเราต้องทำ.. การลงโฆษณา Google Ads แบบ Search มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกับการทำ SEO นั่นคือการทำให้เว็บไซต์อยู่บนหน้าแรกของ Google แม้ว่าการทำ SEO จะเป็นวิธีที่ฟรี แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะติดอันดับ การลงโฆษณา Google Ads จะทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่บนหน้าแรกของ Google ได้ทันที เหมาะกับเว็บขายของออนไลน์มากๆ การเรียกเก็บเงินตามจำนวนครั้งที่มีคนคลิกเข้าเว็บไซต์เท่านั้น

98% ของผู้ที่ค้นหาร้านค้าออนไลน์หรือธุรกิจ เลือกคลิกเว็บไซต์ที่อยู่ในหน้าแรก การลงโฆษณา Google Ads จะทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่บนหน้าแรกได้ทันที! นอกจากนี้คุณยังสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมาย, พื้นที่, Keyword และช่วงเวลาในการลงโฆษณาได้อย่างแม่นยำ เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการสร้างยอดขายเช่นร้านค้าออนไลน์แบบคุณ

“ 66% ของคนที่คลิกโฆษณา เป็นคนที่ต้องการจะซื้อสินค้า ”

โฆษณาของ Google Ads ไม่ได้มีแค่ Google Search เท่านั้น แต่ยังมีเครื่องมืออีกมากมายที่จะสร้างยอดขาย และทำให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ศึกษาการลงโฆษณา Google Ads เพิ่มเติมได้ที่บทความ Google Ads คืออะไร?

 

5. เปลี่ยนร้านค้าทั่วไปให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้วย Blog

การเขียนบล็อก หลายคนคงสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับเว็บขายของออนไลน์? การเขียนบล็อกเหมือนเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ การแชร์ความรู้ต่างๆ ด้วยความรู้สึกที่เป็นมิตร เข้าถึงคนอ่านง่ายกว่าบทความที่เป็นทางการ หรืออ่านแล้วรู้สึกว่าตั้งใจมาขายของ

แล้วร้านของเราจะได้ประโยชน์อะไรจากการเขียนบล็อก?

สิ่งแรกที่คุณจะได้จากการเขียนบล็อกคือ ช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ ลูกค้าที่มีปัญหาหรือความต้องการบางอย่าง ต้องการข้อมูลก่อนเลือกซื้อสินค้า จะเข้ามาที่บล็อกในเว็บไซต์ของคุณ หากคุณเขียนบล็อกให้ถูกหลัก SEO บล็อกของคุณก็สามารถติดอันดับบน Google ได้เหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่น หากร้านค้าออนไลน์ของคุณขายสินค้าประเภทรองเท้ากีวิ่ง การเขียนบทความที่เกี่ยวกับการวิ่งออกกำลังกาย หรือแนะนำรองเท้าให้เหมาะสมกับคนออกกำลังกาย เพื่อเป็นการให้ความรู้กับลูกค้า หรือผู้อ่านท่านอื่นๆ จะช่วยให้คนที่อ่านรู้สึกว่าแบรนด์ของเราคือผู้เชี่ยวชาญ มีความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่แค่ร้านขายรองเท้าวิ่งทั่วไป

หากบทความที่เราเขียนมีคุณภาพ ให้ความรู้ได้ดี มีประโยชน์ ผู้อ่านที่ชอบบทความของคุณ ก็สามารถนำไปแชร์ต่อบน Social media และช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น

47% ของผู้ซื้อมักจะหาบทความเกี่ยวกับสินค้าอ่านก่อน 3 – 5 บทความก่อนตัดสินใจซื้อ

เทคนิคเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนขายของออนไลน์ควรเรียนรู้ ลองทำ และนำไปพัฒนาเพื่อใช้ร่วมกับแคมเปญการตลาดของธุรกิจ เมื่อร้านค้าออนไลน์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น เว็บไซต์ของคุณก็สามารถสร้างยอดขายให้คุณได้อย่างต่อเนื่อง

หากคุณยังไม่มีเว็บไซต์ เรามีบริการเว็บไซต์ฟรีที่สามารถใช้ขายของได้จริง ให้คุณได้ทดลอง ถ้าพร้อมแล้วก็ “คลิกเลย